ขอบคุณข้อมูลจาก ข่าวสดออนไลน์ เผยแพร่ วันพฤหัสที่ 30 กันยายน พ. ศ. 2564 วันที่ 30 ก. ย. 2564 นายสมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช. ) ในฐานะรองผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช. ) เปิดเผยว่า ขณะนี้ต้องลุ้นพายุ 2 ลูกที่ทั้งสองฝั่งของประเทศไทยในปัจจุบัน จะไม่ส่งผลกระทบในระยะนี้ แต่จะยังคงมีอิทธิพลของลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ซึ่งจะส่งผลให้ประเทศไทยเกิดฝนตก ซึ่งจะมีการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่องในช่วงต้นเดือน ต. ค. นี้ นายสมเกียรติ กล่าวอีกว่า ประมาณ 10 วันต่อจากนี้ เป็นช่วงที่จะมีฝนตกในพื้นที่ภาคใต้เป็นส่วนใหญ่ จึงเป็นช่วงที่จะมีการเร่งระบายน้ำโดยเร็วถึง 1 ต. 64 และเว้นช่วงในวันที่ 2-3 ต. ซึ่งจะมีน้ำทะเลหนุนสูง ก่อนจะเร่งระบายอย่างต่อเนื่องอีกครั้งในระหว่างวันที่ 4-8 ต. 64 ก่อนจะเข้าสู่ช่วงที่คาดการณ์ว่าจะมีฝนตกชุกในวันที่ 9-12 ต. 64 นายสมเกียรติ กล่าวต่อว่า ยอมรับว่าห่วงพื้นที่ จ. สระบุรี จ. ลพบุรี และจ. พระนครศรีอยุธยา ที่อาจได้รับผลกระทบจากการระบาดน้ำในเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ น้ำในแม่น้ำอาจสูงขึ้น 1-1.
/วินาที ปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็น 2, 775 ลบ. /วินาที และจะยังคงเพิ่มขึ้นเล็กน้อยอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าปริมาณน้ำไหลผ่านท้ายเขื่อนเจ้าพระยา ที่สถานี C. 13 อ. สรรพยา จ. ชัยนาท จะขึ้นสู่จุดสูงสุดประมาณช่วงเย็นวันนี้หรือเช้าวันที่ 1 ต. นี้ "ปัจจัยที่ช่วยในการรักษาให้ระดับน้ำทรงตัว คือการดึงน้ำออกไปทางฝั่งตะวันตก ผ่านคลองมะขามเฒ่าอู่ทอง และแม่น้ำท่าจีน ไปยัง จ. สุพรรณบุรี ซึ่งช่วยตัดยอดน้ำออกไปได้ในปริมาณมาก โดยวานนี้มีการผันน้ำเข้าทางฝั่งตะวันตก 254 ลบ. /วินาที และเพิ่มขึ้นในวันนี้ที่อัตรา 303 ลบ. /วินาที ซึ่งเป็นผลจากการปฏิบัติงาน" นายสมเกียรติ กล่าวต่อว่า กอนช. ได้ขึ้นเฮลิคอปเตอร์เพื่อบินสำรวจทุ่งรับน้ำ และพบว่าพื้นที่ลุ่มต่ำในบริเวณฝั่งตะวันตกยังคงมีช่องว่างมากเพียงพอสำหรับรองรับน้ำได้ อย่างไรตาม การผันน้ำอาจส่งผลกระทบต่อพื้นที่การเกษตรที่อยู่ในระหว่างการเพาะปลูกและยังไม่ได้เก็บเกี่ยว ซึ่งวานนี้ พล. อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการ กอนช. ได้มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทาน เร่งตรวจสอบและดูแลทั้งชุมชนและพื้นที่การเกษตรในช่วงก่อนมวลน้ำไหลจะเข้าไปในพื้นที่ ในส่วนของฝั่งตะวันออก นายสมเกียรติ กล่าวอีกว่า เมื่อวันที่ 29 ก.
ในภาคกลาง กว่า 700 ล้าน ลบ. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กว่า 1, 200 ล้าน ลบ. ม.
น้ำได้ไหลเข้าสู่คลองชัยนาท-ป่าสัก ซึ่งได้กลับมาเพิ่มการระบายอีกครั้งหลังจากก่อนหน้าที่ลดการระบายลง เนื่องจากพบว่า บริเวณ อ. ท่าวุ้ง จ. ลพบุรี ยังคงมีช่องว่างสำหรับรองรับน้ำได้เพียงพอ โดยน้ำจากการระบายจะไหลผ่าน จ. ชัยนาท จ. สิงห์บุรี จ. อ่างทอง ก่อนจะเข้าสู่ จ. พระนครศรีอยุธยา โดย จ. พระนครศรีอยุธยา จะมีปริมาณน้ำไหลผ่านในอัตราที่เพิ่มขึ้นในระยะ 3-4 วัน ข้างหน้านี้ และสถานการณ์จะทรงตัวเช่นนี้อีกประมาณ 7 วัน "เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ขณะนี้ต้องระบายน้ำเพิ่มขึ้นในอัตรา 1, 200 ลบ. /วินาที เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำล้นสปิลเวย์ และได้ประสานกับทางกรมชลประทาน ในการลดอัตราการระบายลงอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการทยอยระบายน้ำจากแม่น้ำป่าสักชลสิทธิ์ออกไปก่อน ขณะนี้อัตราน้ำที่ไหลเข้ามีปริมาณลดลง และมวลน้ำอีกราว 400 ล้าน ลบ.
ได้ประสานของกำลังทหารเตรียมรับมือน้ำท่วม ช่วยเหลือประชาชน หลังปรับแผนระบายน้ำเพิ่ม หวั่นพายุ 2 ลูกเข้าเติมน้ำในเขื่อน" นายสมเกียรติ กล่าวต่อว่า สำหรับประเด็นข้อห่วงกังวลเกี่ยวกับมวลน้ำที่จะไหลเข้าสู่กรุงเทพมหานคร กอนช. ได้มีการติดตาม วิเคราะห์ และประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ขณะนี้สถานการณ์น้ำที่สถานีวัดระดับน้ำ N. 67 อ. ชุมแสง จ. นครสวรรค์ ปริมาณน้ำไหลผ่านได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว และปริมาณน้ำมีแนวโน้มลดลง เช่นเดียวกับสถานการณ์บริเวณแม่น้ำปิง ที่สถานี P. 17 อ. บรรพตพิสัย จ. นครสวรรค์ ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเขื่อนภูมิพล ที่ปริมาณน้ำไหลผ่านมีแนวโน้มลดลง ส่งผลให้มวลน้ำที่จะไหลรวมกันลงสู่พื้นที่ตอนล่างน้อยลงตามลำดับ จากการติดตามสถานการณ์ ณ สถานี C. 2 อ. เมืองนครสวรรค์ จ. นครสวรรค์ พบว่า ขณะนี้ปริมาณน้ำได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้วและกำลังลดลงเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ มวลน้ำจาก จ. นครสวรรค์ จะไหลลงมารวมกับแม่น้ำสะแกกรัง โดย 29 ก. 2564 แม่น้ำสะแกกรัง มีปริมาณน้ำไหลผ่าน 412 ลบ. ม. /วินาที แต่ 30ก. ลดลงเหลือ 393 ลบ. /วินาที จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า สถานการณ์ของทุกสถานีวัดน้ำดังกล่าวส่งสัญญาณในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างสอดคล้องกัน บ่งบอกว่าปริมาณของน้ำที่จะไหลมารวมตัวกันที่บริเวณหน้าเขื่อนเจ้าพระยามีแนวโน้มลดลง นายสมเกียรติ กล่าวอีกว่า ส่วนทางด้านสถานการณ์บริเวณท้ายเขื่อนเจ้าพระยา มีปริมาณน้ำไหลผ่านเพิ่มขึ้นในอัตราไม่มากนัก โดยจากวานนี้มีอัตราไหลผ่านที่ 2, 749 ลบ.